วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

09:31 - No comments

วิชาหน้าเสาธง กิจกรรมปลูกฝังศีลธรรมในโรงเรียน

ดร.ถาวร ชัยจักร

               ผม ทำงานกับเยาวชนมาตลอดชีวิต กว่า 40 ปี ทำหน้าที่ครูสอนนักเรียน และเป็นผู้บริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา 8 แห่ง ใน 6 จังหวัด การมีชีวิตเป็นครูทำให้ผมมีโอกาสสั่งสอนวิชาความรู้ และอบรมบ่มนิสัยให้ลูกศิษย์กว่า 30,000 คน มีจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดีของสังคม เป็นกำลังสำคัญของชาติบ้านเมือง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ประสบปัญหาชีวิต และแวะเวียนมาขอคำปรึกษาไม่ได้ขาด

                ผมเชื่อมั่นว่า ผู้มีหัวใจเป็นครูทุกท่านย่อมทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการทำหน้าที่ครูอย่าง เต็มที่ ผมเองก็มั่นใจว่าตนเองเป็นหนึ่งในนั้น แต่ทั้งที่คุณครูทุกคนก็พยายามอย่างสุดความสามารถ หาหนทางทุกอย่างที่จะสอนลูกศิษย์ทุกคนให้เป็นคนดี แต่ปัญหาของนักเรียนในโรงเรียนแต่ละรุ่นยังไม่หมดไป
                โรงเรียน ทุกแห่งที่ผมมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็มีปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ทุกโรงเรียน นั่นคือปัญหาการใช้ความรุนแรง ทะเลาะวิวาท ยาเสพติด การพนัน มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ตามมาด้วยปัญหาโรคเอดส์ ตั้งท้อง ทำแท้ง ฯลฯ เยาวชนตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และอีกสารพัดปัญหาซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทั่วประเทศ และลุกลามอยู่ทั่วโลก
               เมื่อผมกลับมาทบทวนถึงรางวัลเกียรติยศที่ตนเองได้รับ ไม่ว่าจะเป็นโล่เกียรติยศโรงเรียนจริยธรรมดีเด่น เกียรติบัตรโรงเรียนผู้นำการใช้หลักสูตรดีเด่น ใบประกาศเกียรติคุณผู้บริหารดีเด่น โรงเรียนรางวัลพระราชทาน ฯลฯ และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมได้รับมาจากหลายหน่วยงาน ผมพบว่าแม้โล่เกียรติยศในตู้โชว์จะเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาความประพฤติของนักเรียนก็ไม่เคยลดลงไปเลย ปัญหายังคงมีอยู่กับนักเรียรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้ปกครองต่างก็โทษคุณครู คุณครูก็โทษผู้ปกครอง มันเหมือนกับว่าเราต่างโยนภาระรับผิดชอบไปมา และขาดความร่วมมือกันอย่างจริง จังและยั่งยืน ลูกหลานของเราจึงยังประสบปัญหา มีภัยจากสภาพสังคมที่ล้มเหลวและเลวร้ายมาตลอด
               ปลายปี พ.ศ. 2544 ผมได้ย้ายจากโรงเรียนสามร้อยยอดวิทยาคม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ที่นี่เองที่ผมได้ค้นพบวิธีการที่ทำให้ผู้ปกครอง คุณครู และนักเรียนได้มาหาแนวทางการแก้ปัญหาสังคมที่เกิดกับนักเรียนร่วมกัน ไม่ใช่เป็นการแก้ไขลงไปเฉพาะครอบครัวของนักเรียนที่มีปัญหาเท่านั้น แต่เป็นการร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียงจากคุณครูทุกคนในโรงเรียน และผู้ปกครองทุกท่านที่มีบุตรหลานเรียนอยู่ที่นี่ โดยอาศัยนักเรียนทุกคนเป็นทูตผสานสัมพันธไมตรีจากคุณครูประจำชั้นไปถึงคุณ พ่อคุณแม่ของตนเอง
               วิธีการที่ผมใช้ก็คือให้ผู้ปกครอง คุณครู และนักเรียนทุกคนมีความรู้ตรงกันในเรื่องคุณสมบัติของคนดี จากการอ่านหนังสือ “ครอบครัวอบอุ่น” แล้วเชิญผู้ปกครองมาทำแบบทดสอบวิธีการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี เป็นการวัดผลว่าคุณพ่อคุณแม่มีความเข้าใจในเรื่องคนดีมากน้อยขนาดไหน
                 หลังจากผ่านการทดสอบแล้วทั้ง 3 ฝ่าย คือ คุณครู นักเรียน และผู้ปกครอง ยังร่วมมือกันประเมินผลการเลี้ยงลูกต่อไปเป็นระยะ ๆ ครั้งละ 1 ห้องเรียน โดยคุณพ่อคุณแม่และลูกรวมครอบครัวละ 3 คน ใน 1 ห้องเรียนประมาณ 120 คน ได้เข้าร่วมประเมินติดตามผลการเรียน และความประพฤติของนักเรียน
                 ทุกปีการศึกษา มีการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังจากนักเรียนผ่านการสอบคัดเลือกแล้ว ยังมีการทดสอบผู้ปกครองในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูลูก เพื่อสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียน ด้วยการศึกษาจากคู่มือ “การเลี้ยงลูกอย่างไรให้เมืองไทยได้เยาวชนดี” หรือหนังสือ “ครอบครัวอบอุ่น” ที่มอบให้ในวันสมัครเข้าเรียน
                  ด้วยวิธีการดังกล่าว ทำให้ผู้ปกครองร่วมมือกับโรงเรียน ในการทำกิจกรรมปลูกฝังศีลธรรมอย่างเต็มที่และเต็มใจ และยังมีอีกกิจกรรมหนึ่งที่ทำอย่างเข้มข้นทุกวัน คือ กิจกรรมการปลูกฝังศีลธรรมที่หน้าเสาธง โดยใช้เวลาประมาณวันละ 30 นาที ซึ่งกิจกรรมหน้าเสาธงนี้ทุกโรงเรียนต้องทำอยู่แล้ว คือ มีพิธีการหน้าเสาธง เริ่มต้นขบวนเชิญธงไปผูกที่เสาธง แล้วชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาพร้อม ๆ กับทุกคนร้องเพลงชาติจนจบ ต่อด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ แสดงตนเป็นพุทธมามกะ ทำสมาธิ แล้วจบลงด้วยการกล่าวคำปฏิญาณตนที่จะรักษาศีล 5 พิธีการนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที     
                  หลังจากนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนจะให้โอวาทด้วยการเล่านิทานชาดก และสรุปข้อคิดเป็นธรรมะ คุณครูประจำชั้นจะให้นักเรียนเขียนสรุปโอวาท และนิทานพร้อมธรรมะเป็นเรียงความ แล้วนำไปให้ผู้ปกครองได้อ่านหรืออ่านให้ผู้ปกครองฟัง ใครเขียนดีก็จะมอบทุนการศึกษา 100 บาท, 500 บาท หรือ 1,000 บาท ให้นักเรียนทุกคนที่เขียนเรียงความส่งคุณครู มีการมอบทุนการศึกษาโดยการแจกรางวัลอย่างนี้ทุกวันที่หน้าเสาธง
                   นอกจากนี้แล้วยังกำหนดให้นักเรียนแต่ละห้อง แสดงละครประมาณ 15 นาที ที่หน้าเสาธง หรือบางครั้งก็ให้นักเรียนออกมาเล่านิทานชาดกสลับกับผู้อำนวยการโรงเรียน
                   ในแต่ละเดือนจะมีวันสำคัญทางชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โรงเรียนก็จัดให้มีการทำบุญตักบาตรหน้าเสาธง โดยคณะกรรมการนักเรียนพร้อมกับคุณครูร่วมกันจัดพิธี และนิมนต์พระสงฆ์ทั้งอำเภอกำแพงแสนมาบิณฑบาตร ครั้งละไม่น้อยกว่า 100 รูป แต่ละปีจะมีพิธีตักบาตรหน้าเสาธงปีละ 9-10 ครั้ง ผ่านมาเป็นระยะเวลา 8 ปี รวม 69 ครั้ง มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรวมแล้วมากกว่า 10,000 รูป
                    กิจกรรมเหล่านี้คือวงจรของ บ้าน-วัด-โรงเรียน ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว การดำเนินกิจกรรมเช่นนี้เป็นความพยายามที่จะปลูกฝังคุณธรรมให้แก่นักเรียน อย่างครบวงจร ซึ่งผลที่ผมคาดหวังก็คือการได้เห็นความประพฤติของนักเรียนดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่ที่นำบุตรหลานของตนมาฝากเข้าเรียนก็เกิดความสบายใจ และคุ้นเคยกับครู อาจารย์ ส่วนนักเรียนก็คุ้นเคยกับคุณครู กล้าที่จะพูดคุยกับคุณครูมากขึ้น เต็มใจที่จะทำกิจกรรมร่วมกันมากยิ่งขึ้น
                      ผู้ปกครองกับผู้ปกครองด้วยกันเอง แม้จะมีฐานะทางสังคมต่างกัน ก็กลายมาเป็นเพื่อนที่พร้อมจะปรึกษาหารือร่วมกันได้ เพื่อที่จะดูแลบุตรหลานของตนเองให้ดีที่สุด และเมื่องานและกิจกรรมออกมาครบวงจร ก็จะเกิดผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชุมชนไปเป็นลูกโซ่ รวมถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติดในชุมชน ปัญหาเรื่องชู้สาว ปัญหาการทะเลาะวิวาท และอีกสารพัดปัญหาของเยาวชนก็ลดลงได้เอง โดยไม่ต้องโฆษณารณรงค์เป็นพิเศษเฉพาะปัญหานั้น ๆ อย่างที่ทำกันอยู่
                      ผมคิดว่าในแง่ของงบประมาณแล้ว กิจกรรมอย่างนี้คุ้มค่ามาก เพราะทำแล้วแก้ไขปัญหาครอบคลุมทั้งวงจร ทั้งประหยัดและได้ผลดี ทุกคนที่ร่วมกิจกรรมมีความพึงพอใจ เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้ชุมชน    ทำให้การจัดการศึกษาเข้มแข็ง และมีคุณภาพมากขึ้น
                       หลังจากทำโครงการดังกล่าวติดต่อกันในระยะเวลา 3 ปี ผมได้พบผลลัพธ์ที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของนักเรียน ผู้ปกครอง คุณครู และประชาชนในชุมชนอย่างน่าพอใจ รวมทั้งเป็นก้าวย่างที่สำคัญ ที่ทำให้ผมได้รับโอกาสเข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาเยาวชน และปัญหาสังคมระดับชาติ อาทิ รับตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วุฒิสภา ปี พ.ศ. 2545 - 2549 และรับตำแหน่งเลขานุการอนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนา วุฒิสภา ปี พ.ศ. 2550 - 2552 ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลของการดำเนินโครงการนี้จะเป็นคำตอบที่สังคมต้องการในเวลานี้ 
                       ผมขอสรุปผลที่เกิดขึ้นดังนี้ ซึ่งบัดนี้ผมได้เกษียณอายุราชการแล้ว วัดพระธรรมกาย และกระทรวงศึกษาธิการ ยังเปิดโอกาสให้ผมได้นำเสนอกิจกรรมการปลูกฝังศีลธรรมหน้าเสาธงให้กับผู้ บริหาร ครู พระภิกษุ และโรงเรียนดีศรีตำบลทั่วประเทศ 6,545 โรงเรียน ดังจะได้นำเสนอต่อไป และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่เห็นความสำคัญในการปลูกฝังศีลธรรมให้กับนักเรียน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และเป็นการสร้างคุณภาพ คุณธรรมให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ โดยทุกท่านก็ได้รับบุญกุศลมากมายอย่างสุดที่จะประมาณได้     
         

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น