09:27 -
No comments
กิจกรรมหน้าเสาธงตอนเช้า…ปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ?
........ฝึกอะไรเด็กที่หน้าเสาธง…ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบ วินัย “ ตามที่ครูสั่ง ครูควบคุม” ครูดีใจ ภูมิใจถ้านักเรียนทำตามสั่ง เป็นระเบียบดี ถ้าครูไม่สั่ง ครูไม่ควบคุม แน่นอนที่สุดความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที ทุกวันนี้ คนไทยที่ทำตามกฎกติกา เป็นเพราะว่าความเคยชินจนเป็นนิสัย นิสัยที่ว่านี้ก็คือ “ นิสัยทำตามเจ้านายสั่ง และถ้าเจ้านายควบคุมก็จะทำเต็มที่ ” จะเห็นได้ชัดเจนในหน่วยงานทั่ว ๆ ไป ถ้าเจ้านายอยู่ และควบคุมจะทำงานเต็มความสามารถ วันใดเจ้านายไม่อยู่ก็ทำเหมือนกัน แต่ออกแรงไม่เต็มที่
………กิจกรรมหน้าเสาธง ฝึกเด็กให้รู้จักจัดการกันเองได้ไหม….ครูเลิกจัดการกับชีวิตเขาเสียทีโดยให้ ครูอาจารย์ดูแลอยู่ห่าง ๆ นอกสนาม นักเรียนที่เป็นคณะกรรมการ หรือให้รุ่นพี่ ม.6 แบ่งหน้าที่กันเองให้รับผิดชอบแทนครู ตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.4 สำหรับ ม.5 ให้เขาได้ฝึกดูแล ควบคุมกันเอง กติกาต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมหน้าเสาธง ให้นักเรียนทั้งหมดช่วยกันร่าง ช่วยกันพิจารณา (เหมือนกับว่าเขาได้ฝึกการเป็น ส.ส. ) เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็นำเสนอเพื่อความเห็นชอบต่อคณะครูอีกครั้งหนึ่งก่อน ที่จะนำไปใช้ (เหมือนกับว่าได้ฝึกครูเป็น ส.ว. กลั่นกรองกฎหมาย ) SBM เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งวิธีเดิมที่ปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไร ถามว่า เด็ก ๆ เคยร่างกฎกติกามาใช้กับพวกเขาเองไหม ? ผู้ใหญ่คิดเองใช่ไหม ? แล้วสั่งให้เด็ก ๆ ทำใช่ไหม ? จะเป็น SBM ได้อย่างไร
….……คงมีคนคัดค้านวิธีนี้แน่ เพราะว่าครูถูกลดอำนาจลงมาก กลัวว่าถ้าให้อำนาจกับเด็กในเรื่องนี้ได้ ต่อไปเด็ก ๆ จะต้องขอโน่น ขอนี่อีก จะเป็นภาระยุ่งยากให้กับครู (ผู้หลงอำนาจ) วิธีครูเซนเตอร์ ก็จะยังคงมีอยู่ แล้วเด็กจะมีความสำคัญอย่างไร แม้แต่ชีวิตของเขา เขาไม่ไม่สิทธิ์บงการ จัดการกับตัวเขา ต้องรอให้ผู้ใหญ่ (บ้าอำนาจ) มาบงการชีวิตเขาตลอดเวลา
……….SBM เป็นการกระจายอำนาจให้กับชีวิตใครชีวิตมัน สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ก็บ่งไว้ชัดเจน เพียงแต่ว่าโรงเรียนจะจัดการได้เพียงใด บ้านเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การปกครองดูแลนักเรียนยังต้องทำแบบเดิม ๆ อยู่ เปลี่ยนแปลงบ้างไม่ได้หรือ ? ทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ไปได้ คำว่า “ คิดใหม่ ทำใหม่ “ ที่ผู้บริหารเคยพูดไว้ตอนประชุมครูอยู่บ่อย ๆ พูดเพื่อพูดเท่านั้นเองหรือ ควรจะพูดเพื่อปฏิบัติดีกว่า ค่อยเป็นค่อยไป ทำบางอย่างบางเรื่องที่พอทำได้ ใช้ PDCA ,ใช้ Walk Rally มาช่วย
……….เป็นธรรมดา ต้องมีคำพูดที่ว่า “วิธีนี้เกิดความยุ่งยากแน่ ขนาดที่ครูควบคุมดูแล ยังไม่ดี ถ้าให้เด็กดูแลกันเองจะดีได้อย่างไร ? “ ต้องยอมรับว่าความยุ่งยากต้องเกิดขึ้นแน่ วิธีที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ครูดูแล ควบคุมเด็ก เป็นเวลา 40 ปีแล้ว ยังไม่ดีเท่าไรนัก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดีเท่าไร ก็ไม่คิดเปลี่ยนวิธี ยังดันทุรังใช้วิธีเดิมนี้อีก สอนเด็กให้คิดให้เป็น แล้วครูคิดไม่เป็นหรืออย่างไร พอใครเสนอวิธีใหม่ ๆ ขึ้นมา ก็ต้องพูดขึ้นมาทันทีว่า “ทำไม่ได้หรอก อย่างนี้ไม่ดีหรอก “ นั่งนึกเองว่าไม่ได้ ไม่ดี แล้วสรุปเองว่าไม่ดี ลองทำวิธีใหม่หรือยังล่ะ ทำได้ 2 – 3 วันแล้วสรุปว่าไม่ดี ไม่ได้น่ะ ต้องรอเป็นเทอม เป็นปีนั่นแหละ วิธีเดิมยังทำมาเป็น 40 ปี ถ้าใจกว้างจริง ก็ต้องรอ 4 – 5 ปี นั่นแหละ
……….วิธีการใหม่นี้ เป็นการฝึกนักเรียนได้ดีกว่า เช่น นักเรียนได้คิดมากกว่า นักเรียนมีสิทธิดูแลกันเองมากกว่า นักเรียนมีสิทธิ์ในการร่างกติกาซึ่งประวัติศาสตร์โรงเรียนนี้ไม่เคยมีมา ก่อน ผลพลอยได้ทิ่จะติดตามมาก็คือ ครูลดภาระลง เพียงแต่ดูแลห่าง ๆ จนในที่สุดไม่ต้องดูแลก็ได้ ครูไปรออยู่ที่ห้องโฮมรูม จะมีรุ่นพี่ ม.6 เช็คจำนวนแล้วพาเดินเป็นแถวไปพบครู นักเรียนที่เข้า ม.1 จนถึง ม.6 เคยถูกฝึกให้ทำตามคำสั่งครูมาตลอด จะได้มีโอกาสฝึกเป็นรุ่นพี่ ฝึกเป็นผู้นำ ฝึกเป็นผู้ควบคุมดูแล ฝึกเป็นผู้บริหารกันบ้าง โรงเรียนนี้จะเปลี่ยนโฉมการฝึกกันใหม่ ฝึกคนให้เป็นเลเบอร์มาตลอดทุกรุ่น ๆ เมื่อจบออกไปถ้าได้รับตำแหน่งผู้นำก็ทำได้ไม่ดี มีสักกี่คนที่มีตำแหน่งหัวหน้า ก็เพราะเราไม่ได้ฝึกให้เขาเป็นคนระดับหัวหน้านั่นเอง
………วิธีการใหม่นี้ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ผมคิดของผมเองอย่างนี้ … อาจารย์บางท่านอาจจะคิดได้ดีกว่านี้ แต่ไม่มีโอกาสได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น หาโอกาสไม่ได้เลย สิ้นปีมีการประเมินผลงาน หัวหน้าฝ่าย หัวหน้ากลุ่มสาระฯ มานำเสนอ รายการสุดท้ายเพราะโรงเรียนไม่มีวันประเมินผลตอนปิดภาคเรียน ฝ่ายบริหารใจแคบ กลัวว่าจะถูกครูตำหนิการทำงาน ทำใจไม่ได้ก็เลยงดการประเมินผลเมื่อทำงานเสร็จ แล้วก็พูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ทำงานยึดหลัก PDCA ยึดได้ก็เพียง PD เท่านั้น สำหรับ CA ทำได้เป็นบางเรื่องเท่านั้น ผมจึงต้องเขียนแสดงความคิดเห็นออกมา ท่านที่คิดวิธีที่ดีกว่านี้ก็ควรจะรีบแสดงความคิดเห็นออกมา ถ้าไม่กล้าคิดไม่กล้าทำ โรงเรียนก็เป็นอย่างนี้แหละ เด็ก ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์มีส่วนร่วมในการปกครองกันเองได้เลย
……….หลากหลายความคิด หลากหลายวิธี ควรจะมีการพบปะพูดคุยกัน ให้ได้บทสรุปที่เป็นไปได้ อย่างมีจุดหมาย หลักการที่แน่นอน ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะใช้โอกาสใดในการพบปะกัน ทำ Work Shop กันเป็นเรื่อง ๆ ครู-อาจารย์ เมื่อได้พุดคุยกันตามสถานที่บางแห่ง 3 คน 5 คน หนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียน พูดเรื่องปัญหา เรื่องวิธีการแก้ไข ผมก็ได้ยินได้ฟังมา เป็นวิธีดี ๆ ทั้งนั้น ถ้าจะทำ แสดงว่าครูเรายังคิดที่จะทำให้สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นในโรงเรียน แต่ทำไมไม่พูดกันในห้องประชุมล่ะ บางคนพูดว่าพูดในห้องประชุม ไม่มีเวลาพูด เวลา 100 ผ.อ.พูด 75 ผช. พูดคนละ 5 ที่เหลืออีก 5 ไม่กล้าพูด เกรงใจเพื่อนครูที่อยู่บ้านไกลจะกลับบ้านค่ำ และถ้าพูดไปมันก็ไม่มีผลอะไร เงียบไว้ดีกว่า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น